ณ วันนี้ คลาวด์ไม่ใช่เรื่องใหม่ และได้ยินกันมากขึ้นและเริ่มมีบทบาทในชีวิตการทำงานในยุคปัจจุบันและอนาคต แม้กระทั่งต่างจังหวัดก็เริ่มพูดถึงเรื่องนี้มากขึ้นไม่ใช่แค่วงการไอทีเท่านั้นแต่กลับเป็นกลุ่มผู้บริหารรุ่นใหม่ที่เริ่มมองเห็นประโยชน์ของเทคโนโลยี ขอนำมาสรุปทีเดียว คลาวด์ (CLOUD) และ ON-PREMISE (ระบบโปรแกรมแบบเสียค่า License แบบครั้งเดียว) แตกต่างกันอย่างไรบ้าง ข้อดีข้อเสียอย่างไร CLOUD คือ แนวคิดในการให้บริการโดยใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานไอที โดยผู้ให้บริการเป็นผู้ลงทุน ทั้ง Hardware, Software รวมไปถึง PEOPLEWARE (บุคคลากร) ON-PREMISE ระบโปรแกรมที่ต่างจังหวัดใช้กันอยู่ทั่วไปในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็น Windows หรือ Microsoft Office ที่เห็นชัดๆ คือ โปรแกรมสำหรับธุรกิจ อฟต์แวร์ที่เราใช้กันทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นโปรแกรมบัญชี เงินเดือน อย่าง Business Plus หรือ EXPRESS ประเภทของโปรแกรมทางธุรกิจที่เหมาะสมกับ ON-PREMISE เกือบจะทุกประเภทของโปรแกรมล้วนเริ่มต้นจาก ON-PREMISE แต่เมื่อเข้าสู่ยุคอินเตอร์เน็ต ประเภทของโปรแกรมทางธุรกิจที่เหมาะสมกับ CLOUD
0 Comments
Business Software Consultant ตำแหน่งงานสุดฮอตที่หลายๆคนอยากจะเป็น เพราะ Technology หรือ Product เป็นเพียงเครื่องมือเท่านั้น หัวใจสำคัญอยู่ที่ Solutions นั่นก็คือ ทักษะของคน ด้วยโอกาสในการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆที่หลากหลายในแต่ละธุรกิจ ได้สัมผัสและเรียนรู้แนวคิดของผู้บริหาร(ลูกค้า)โดยตรง แม้งานจะน่าสนใจแต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะผ่านจุดเริ่มต้นไปได้ นี่คือเสน่ห์ของสายงานนี้ บุคคลากรด้านนี้ก็ยังมีน้อยมากและขาดแคลนทั้งในกทม และ หัวเมืองในต่างจังหวัด
ลักษณะงาน
Business Software Consultant รวมไปถึง Implementer นั้น ต้องอาศัยการเรียนรู้ในหลายด้านที่เกี่ยวข้องกันหมด จะรู้แค่การสร้าง Model ก็ไม่ได้ หรือรู้แค่ Data Pipeline หรือ UX/UI ก็ไม่ได้ เพราะต้องศึกษาและทำความเข้าใจฟังก์ชั่นการทำงานของโปรแกรมนั้นๆ เพื่อกำหนดและวางระบบโปรแกรม ให้สอดคล้องกับ Requirement หรือธุรกิจของลูกค้า พร้อมจัดทำเอกสารประกอบการวางระบบรวมไปถึงการฝึกอบรม (กรณี Software ขนาดเล็ก Consult อาจจะต้องทำทุกอย่าง รวมไปถึงฝึกอบรมลูกค้า) ถ้าคนคนเดียวเป็นคน Implement คนนั้นต้องผ่านประสบการณ์ในการทำงานที่หลากหลาย Specialist แบบเป็ดหรือ ทักษะแบบตัว T รายได้ (ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประสบการณ์และองค์กรนั้นด้วย) ขอแยกตามขนาด Software ดังนี้ Software ขนาดเล็ก อาทิ Business Plus (S/W ไทย), Sage Accpac ( S/W นอก) ประมาณ 18-40 K Software ขนาดกลาง อาทิ Exact Globe , Microsoft Dynamic AX ประมาณ 35K-80K Software ขนาดใหญ่ อาทิ Oracle, JDEdward, SAP ประมาณ 70K-150 K หรือมากกว่านั้น
คุณสมบัติพื้นฐาน
ERP Consultant ส่วนใหญ่จะเป็นคนสายงานด้านบัญชี หรือหากเป็นสาย IT ก็ต้องมีประสบการณ์และเข้าใจระบบบัญชีพอสมควร Project & Job Cost Consultant ส่วนใหญ่จะเป็นคนสายงานวิศวะโยธา หรือหากเป็นสาย IT ก็ต้องมีประสบการณ์ด้านธุรกิจก่อสร้างหรือ Real Estate CRM Consultant ส่วนใหญ่จะเป็นคนสายงานไอทีหรือทั่วไป เนื่องจากความซับซ้อนในระบบจะน้อยกว่า ERP และ ระบบผลิต MRP Consultant ต้องมีความรู้ระบบสายการผลิต ส่วนใหญ่ทำงานด้านอุตสาหการหรือด้านไอทีแต่มีประสบการณ์ในการทำงานแขนงนั้นมาพอสมควรแล้ว Preventive Maintenance Consultant ต้องมีความรู้ด้านเครื่องกลหรือซ่อมบำรุง ส่วนใหญ่ทำงานด้านเครื่องกล/เครื่องจักรหรือด้านไอทีแต่มีประสบการณ์ในการทำงานแขนงนั้นมาพอสมควรแล้ว นอกจากสาขาที่เรียนแล้ว โอกาสการได้รับคัดเลือกเข้าทำงานยังมีองค์ประกอบอย่างอื่นอีกมาก เพราะอาชีพ Business Software Consultant จำเป็นต้องมีความรู้ความเข้าใจด้านไอทีเพิ่มด้วย
คุณสมบัติพื้นฐานเป็นเพียงองค์ประกอบภายนอก แต่องค์ประกอบภายใน คือ ศักยภาพที่แท้จริง ของอาชีพนี้ คือ “หัวใจ” เนื่องจากต้องเกี่ยวข้องกับ ผู้ใช้(ลูกค้า) ผู้บริหาร(หรือผู้จัดการโครงการ) และทีมงาน (ที่เกี่ยวข้อง)
1. ความสามารถในการเรียนรู้ และประยุกต์ Software ให้เข้ากับธุรกิจนั้นๆ ได้ดี "Solution ได้ Apply ดี" 2. มีหัวใจบริการ ใจเย็น และอดทน เพราะงานระบบทางธุรกิจต้องเกี่ยวข้องกับผู้ใช้หรือ User มากมายและหลากแนวหลายสไตล์ (น้ำแข็งควรถือไปด้วยเวลาทำงาน) 3. มีทักษะในการโน้วน้าว ในกรณีที่ User ไม่เห็นด้วยหรือไม่ตอบรับในระบบใหม่ ทาง Consultant ก็สามารถที่จะเจรจาเพื่อให้ User เห็นด้วยและทำตาม ทั้งนี้เพื่อบริหารโครงการสำเร็จได้ตามเป้า 4. สุภาพ อ่อนน้อม แม้จะมีความรู้ใน Software หรือเทคโนโลยี มากกว่า User แต่ความรู้ในงานและธุรกิจลูกค้าย่อมรู้เยอะกว่า การที่งานจะเดินไปได้ต้องรับฟังซึ่งกันและกัน เพื่อให้ได้ Solution ที่ดีออกมา อีกทั้งยังได้รับการสนับสนุนจากคนในทีม ผู้จัดการโครงการ และลูกค้า 5. มีแนวคิด แบบ Win-Win กรณีที่เป็น Software ขนาดเล็ก บทบาทที่เพิ่มขึ้นมาคือ Project Manager ดังนั้น การทำงานจริงแม้จะต้องบริหารต้นทุนให้ได้ แต่ในส่วนของลูกค้าโครงการนั้นก็ต้องสำเร็จและได้ประโยชน์สูงสุดจากการใช้งานระบบเช่นกัน พูดง่ายๆว่า Win-Win ทั้งเราและลูกค้า
6. การทำงานเป็นทีม อาชีพนี้ต้องเกี่ยวข้องทั้งคนในทีมของตนและฝั่งลูกค้า ดังนั้น Consultant ต้องสามารถปรับตัวและทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ดี
7. วางตัวเป็นกลาง กรณีที่ฝั่งลูกค้าเกิดมีข้อขัดแย้งภายในและอาจจะส่งผลต่อการวางระบบงาน Software Consultant ควรทำหน้าที่ของตนให้ดีก็พอและเป็นกลางเพียงเท่านั้น 8. มีความรู้สภาพแวดล้อมไอทีที่เกี่ยวข้อง เนื่องจาก Software ทำงานอยู่บนเทคโนโลยีอื่นๆด้วย ทั้งในเรื่องของ Database, Network, Hardware และอื่นๆที่เกี่ยวข้องบ้าง ปัจจุบันหลายๆที่ให้ความสำคัญกับการคัดเลือกบุคคลากรที่มี Soft Skill เข้ามาร่วมงาน เพราะเป็นงานที่ต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ เพื่อที่โครงการจะได้สำเร็จลุล่วงได้ ดังนั้นแล้ว แม้ผลตอบแทนที่สูงโดยเฉพาะ ระดับ Enterprise Project แต่ในการทำงานจริงมีรายละเอียดค่อนข้างมาก ยากและเยอะ ดังนั้น คนที่ตั้งใจจะทำงานด้านนี้ ต้องอดทน และรักที่จะพัฒนาตัวเองอยู่เสมอเพื่อให้มีความรู้ความเชี่ยวชาญอย่างแท้จริง และเป็นที่ยอมรับของลูกค้าและผู้จัดการโครงการให้ได้
สถาบันที่เปิดสอน
ส่วนใหญ่จะยังไม่มีการเปิดหลักสูตรเพื่อผลิตบุคคลากรด้านนี้โดยตรง มีเพียงบางสถาบันที่เปิดสอนหลักสูตร AIS ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นตำแหน่ง Financial Consultant มากกว่า Functional อื่นๆ ยังต้องเรียนรู้และสะสมประสบการณ์จากการทำงานในองค์กรชั้นนำด้านไอที (ทั้งในและต่างประเทศ) การนำความรู้ด้าน Solutions นี้มาต่อยอดกับ Hardware (IoT), Cloud, Big Data และ AI อย่างไร ?
“If you can’t explain it simply, you don’t understand it enough.”
ถ้าต้องการจะเห็นสายรุ้ง คุณจะต้องยอมอดทนกับสายฝนก่อน''
CONTENT นี้อาจจะวิชาการสักนิด (แต่ก่อนจะบินพื้นต้องนุ่มก่อน ปูไปเรื่อยๆ) จากที่ได้เกริ่นไปแล้วว่า CLOUD COMPUTING คือ แนวคิดการให้บริการโดยการนำคอมพิวเตอร์จำนวนมากมาเชื่อมต่อกันผ่านเครือข่าย Network ความเร็วสูงเพื่อให้บริการ โดยที่ผู้ใช้งานไม่จำเป็นต้องรู้เบื้องหลังว่ามี Infrastructure อย่างไร แล้วมีการคิดค่าบริการตามการใช้งานจริง (Pay-Per-Use) คราวนี้เรามาดูประเภทการให้บริการของ Cloud Cloud Computing สามารถแบ่งบริการได้เป็น 3 ระดับ ที่เรียกกันว่า SPI Paradigm ได้แก่ SaaS, PaaS, IaaS
Software as a Service (SaaS) คือการที่ผู้ใช้ทั่วไปสามารถใช้ซอฟแวร์ที่ติดตั้งไว้บนเครือข่ายอิน เทอร์เน็ตได้ โดยที่ตนเองไม่ต้องติดตั้งซอฟแวร์เหล่านั้นลงบนเครื่องของตนเองเลย แต่สามารถเข้าถึงซอฟแวร์ผ่านทางโปรแกรมเว็บเบราว์เซอร์ต่างๆ ได้ บริการอย่าง Saleforce, Netsuite และโดดเด่นไม่แพ้ใครก็คือ Microsoft Office 365, my SaaS, Cloud Time ที่ทางเราให้บริการ (ขายของนิดนุง) Platform as a Service (PaaS) คือการที่นักพัฒนาเช่าใช้ทั้งระบบ ตั้งแต่การพัฒนา, การทดสอบ, การผลิตแอพพลิเคชั่น ฯลฯ และชำระค่าเช่าเฉพาะเวลาที่ใช้งานจริงเท่านั้น ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้มาก เหมาะกับกลุ่มธุรกิจ Startup และบริษัทต่างๆ บริการประเภทนี้ยกตัวอย่างเช่น Windows Azure Infrastructure as a Service (LaaS) คือการที่นักพัฒนาหรือผู้ประกอบการเช่าใช้สถานที่, เซิร์ฟเวอร์ และระบบเครือข่ายได้ตามต้องการโดยที่ไม่ต้องควบคุมดูแลรักษาระบบด้วยตนเอง การอิมพลีเมนต์ระบบ Cloud Computing นั้นมีด้วยกัน 3 รูปแบบ เพื่อรองรับการใช้งานที่แตกต่างกัน และหมดห่วงเรื่องความปลอดภัยของข้อมูล PRIVATE CLOUD คือระบบที่ทำงานอยู่บน Cloud และบริหารจัดการโดยบริษัทเพื่อการใช้งานภายในองค์กรเท่านั้น ผู้ให้บริการและผู้ใช้สามารถควบคุุมและปรับปรุงระบบความปลอดภัยได้ด้วยตนเอง PUBLIC CLOUD คือ Cloud แบบสาธารณะที่ดูแลจัดการโดยผู้ให้บริการภายนอกผ่านอินเทอร์เน็ต ผู้ใช้จะมีสิทธิในการควบคุมที่จำกัดขึ้นอยู่กับการมอบสิทธิของผู้ให้บริการ Public Cloud มีทั้งบริการที่เสียค่าใช้จ่าย อาทิเช่น Windows Azure, SQL Azure และ Microsoft Office 365 เป็นต้น HYBRID CLOUD คือระบบที่ผสมผสานระหว่าง Private Cloud และ Public Cloud ทำให้สามารถทำงานเชื่อมต่อกันได้ ผู้ใช้สามารถขยาย Data Center ไปยัง Public Cloud เพื่อการใช้งานเฉพาะอย่าง และยังกลับมาใช้ Private Cloud ได้เมื่อต้องการเช่นกัน
หลังจากที่ทางที่ได้สำรวจพื้นฐานความเข้าใจ ด้าน "คลาวด์" ซึ่งทีมงานเองเล็งเห็นประโยชน์ ด้าน "คลาวโซลูชั่น" ที่มีต่อกิจการของลูกค้า ไม่ว่าธุรกิจคุณเพิ่งเกิดใหม่หรือเปิดมานาน แต่ด้วยภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน การมีเครื่องมือที่ดีหรือเทคโนโลยีไอทีที่ดีจึงมีความสำคัญ การลงทุนไอทีในช่วงเวลาที่ผ่านมาไม่ง่ายและใช้เวลาและยิ่งกว่านั้นคือใช้ต้นทุนที่สูงมาก ไม่ว่าจะเป็นบุคคลากรไอที HARDWARE อาทิ เซิฟเวอร์รวมไปถึงคอมพิวเตอร์ สิ่งสำคัญ SOFTWARE ก็มีราคาแพง (กรณีมีเรื่องลิขสิทธิ์เข้ามาเกี่ยวข้อง) แต่ด้วยเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป ทำให้วันนี้เรื่องไอทีเป็นเรื่องง่ายสำหรับต่างจังหวัดและรวดเร็วต่อการใช้งาน จึงมีแนวคิดการบริการที่เรียกว่า "คลาวด์ (CLOUD)" เกิดขึ้น
หลายท่านอาจสงสัยว่า คลาวด์ (CLOUD) คืออะไรเหรอ ลองหลับตานึกถึง กลุ่มก้อนเมฆ ลอยอยู่บนท้องฟ้า ที่เราสามารถโยนข้อมูลขึ้นไปไว้ ไม่ว่าจะเป็น ไฟล์, รูปถ่าย, วิดีโอ และดึงมาใช้งานกันได้ทุกที่ทุกเวลา แม้จะอยู่คนละซีกโลก ยกตัวอย่าง Cloud ที่เราคุ้นๆกันมานานและใช้กันแพร่หลาย ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Twitter, Instagram, Youtube เป็นต้น หรือแม้แต่ E-Commerce ค่ายดังอย่าง Amazon (ไม่ใช่ร้านกาแฟนะค่ะ)
คงจะพอมองเห็นภาพ CLOUD กันบ้างแล้ว แต่ทั้งหมดที่กล่าวมา คือต้องอาศัยการประมวลผลจากเครื่องคอมพิวเตอร์มากมายปกคลุมแบบกลุ่มเมฆ ภายใต้ท้องฟ้าเดียวกันก็คือเครือข่ายอินเตอร์เน็ตนั่นเอง เรียกสั้นๆว่า "CLOUD COMPUTING" โดยแทนสัญลักษณ์ด้วยรูป ก้อนเมฆ (CLOUD) CLOUD COMPUTING (ระบบคอมพิวเตอร์เหนือเมฆ) จึงเป็น แนวคิดในการให้บริการโดยใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานไอที ที่ทำงานเชื่อมโยงกันผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต โดยคอมพิวเตอร์ต่าง ๆ ที่ทำงานร่วมกันนั้น อาจตั้งอยู่ในห้องเดียวกัน หรือห่างไกลกันคนละภาคหรือทวีปก็ได้ ทำงานผ่านเทคโนโลยีเสมือน (Virtualization) ระบบจึงไม่ได้ถูกจำกัดในเรื่องของสมรรถนะและขีดความสามารถของคอมพิวเตอร์ โดยระบบจะทำงานสอดประสานกันแบบรวมศูนย์ ซึ่งเป็นนวัตกรรมทางด้านดาต้าเซ็นเตอร์รูปแบบใหม่แห่งอนาคตนั่นเอง ทำไมบริการ คลาวด์คอมพิวติ้ง (CLOUD COMPUTING) จึงได้รับความนิยมในปัจจุบัน ? ลดเวลา : ลดเวลาในการติดตั้งระบบ ลดความซับซ้อน ใช้งานได้ภายในเวลาไม่ถึงชั่วโมง ไม่ต้องเสียเวลาจัดหา Hardware, Software และจัดหาบุคคลากรเฉพาะเรื่องๆ นั้นให้ยุ่งยากอีกต่อไป "Take it Easy" บริหารค่าใช้จ่าย : คุมต้นทุนค่าใช้จ่ายในด้านไอทีได้ เราไม่จำเป็นต้องลงทุนซื้อ Hardware และ Software เองทั้งระบบ และจ่ายตามจริงที่ใช้งานเท่านั้น ลดค่าใช้จ่าย Maintenance ในระบบไอทีแบบเดิมๆ ลดการจ้างงานบุคคลากรด้านไอทีด้วย COST ที่สูง แต่ CLOUD ทำหน้าที่เสมือนการ Outsource งานไอทีแต่ละแขนงแบบ One Stop Service ดังนั้น Cloud จึงเหมาะที่จะเป็นทางเลือกแก่ลูกค้าโดยเฉพาะองค์กรขนาดกลาง หรือ ขนาดย่อม (SME) ลดความเสี่ยง : หลายๆ ธุรกิจลงทุนผิดพลาดด้านไอที SERVER ที่มีขนาดเกินความจำเป็น รวมไปถึงเการลงทุนในบุคคลากรเฉพาะด้านนั้นๆ และปัญหาการ Turn-Over หรือฝึกอบรมพนักงาน
เพิ่มเวลา : เพิ่มเวลาส่วนตัวโดยเฉพาะผู้บริหาร สามารถสร้างสมดุลในชีวิตได้มากขึ้น พักผ่อน ไปทะเลหรือไปเที่ยวต่างประเทศก็ยังสามารถติดต่อกับทีมงานและทำงานได้ โดยไม่ต้องกังวลว่ากิจการจะเสียหาย หรือล้าช้า เพิ่มความคล่องตัว : สะดวกรวดเร็ว ด้วยเทคโนโลยีที่เสมือนทำงานผ่านคอมพิวเตอร์ในออฟฟิต สามารถทำงานได้ทุกที่ ทุกเวลา (ขอเพียงมีอินเตอร์เน็ตเท่านั้นก็ใช้งานได้แล้ว) เพิ่มความยืดหยุ่น : เมื่อขนาดของธุรกิจเปลี่ยนไป ก็สามารถเพิ่มหรือลดจำนวนของทรัพยากรด้านไอที ให้พอเหมาะกับความต้องการของธุรกิจได้ตลอดเวลา เพิ่มประสิทธิภาพในธุรกิจ : ทุกส่วนของธุรกิจสามารถทำงานได้ดียิ่งขึ้น รวดเร็ว ทันใจ สร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า สรุป "คลาวด์" ในที่นี้ ไม่ใช่ ปลาทูทอด แซลม่อน หรือ สเต็กเนื้อสัน ดั่งที่หลายๆ ท่านเข้าใจนะค่ะ ^^
Next Content : รูปแบบการให้บริการ CLOUD COMPUTING
|